การที่ลูกมีความสนใจในกิจกรรมนอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ดนตรี หรือชมรมต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งดีที่ช่วยเสริมพัฒนาการ แต่หลายครั้งกิจกรรมเหล่านี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนได้ หากไม่มีการจัดการเวลาที่ดีพอ จนทำให้ “ผลการเรียนตก (Grades are slipping)” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่กังวลใจไม่น้อย แทนที่จะรีบตำหนิหรือสั่งให้หยุดกิจกรรมทั้งหมด ลองมารับมืออย่างเข้าใจ และช่วยให้ลูกกลับมาจัดสมดุลชีวิตได้ดีกว่าเดิม
กิจกรรมเสริม คือ สิ่งสำคัญ แต่หน้าที่หลักของนักเรียนก็ยังเป็นเรื่องการเรียนเมื่อ ผลการเรียนตก (Grades are slipping) การช่วยลูกบาลานซ์ทั้งสองด้านอย่างเข้าใจ คือบทบาทสำคัญของพ่อแม่ในยุคนี้

- การพูดคุยอย่างเปิดใจ
เมื่อเห็นว่าลูก ผลการเรียนตก อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเพราะเขาไม่ตั้งใจ แต่ควรเริ่มต้นด้วยการพูดคุยอย่างใจเย็น ถามไถ่เหตุผลด้วยความเข้าใจ เช่น “ช่วงนี้หนูสนุกกับกิจกรรมอะไรบ้าง?”
“มีวิชาไหนที่หนูรู้สึกว่ายาก หรือตามไม่ทันไหม?” การพูดคุยแบบนี้จะช่วยให้ลูกกล้าบอกความรู้สึก และทำให้เรารู้ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือด้านใด
- ช่วยจัดตารางเวลาใหม่
หากกิจกรรมเยอะเกินไปจนกระทบเวลาอ่านหนังสือ ลองช่วยลูกวางแผนตารางเวลาใหม่ เช่น กำหนดเวลาทบทวนบทเรียนอย่างน้อยวันละ 30 นาที จำกัดกิจกรรมในบางวัน หรือเลือกทำเฉพาะกิจกรรมที่มีความหมายจริง ๆ การจัดตารางที่สมดุลจะช่วยให้ลูกมีเวลาทั้งในการเรียน และในการทำในสิ่งที่เขารัก โดยไม่ทำให้ ผลการเรียนตก ไปมากกว่านี้
- หาสไตล์การเรียนรู้ที่เหมาะสม
บางครั้งไม่ใช่เพราะกิจกรรมเยอะ แต่เพราะลูกเรียนไม่เข้าใจ จึงไม่อยากเรียน ส่งผลให้ผลการเรียนตก โดยไม่รู้ตัว ลองสังเกตว่าลูกเรียนรู้แบบไหนได้ดีที่สุด
- สร้างแรงจูงใจเล็ก ๆ ระยะสั้น
กำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น เก็บคะแนนวิชานี้ให้ถึง 70 ในรอบหน้า หรือ อ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมงให้ได้ครบ 5 วัน จะทำให้ลูกมีแรงฮึดขึ้นมาได้ โดยไม่รู้สึกกดดันเหมือนการบอกว่าต้องได้เกรดดีทุกวิชา
- ส่งเสริมกิจกรรมอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ห้าม
พ่อแม่หลายคนเมื่อเห็นว่า ผลการเรียนตก ก็มักจะสั่งให้ลูกเลิกกิจกรรมทันที แต่แท้จริงแล้วการทำกิจกรรมคือสิ่งที่ช่วยเสริมทักษะชีวิต เช่น ความรับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานเป็นทีม
หากคุณเป็นพ่อแม่ที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ ลองเริ่มจากการฟังลูกก่อน แล้วค่อยวางแผนไปด้วยกัน และบ้านไหนกำลังมองหาติวเตอร์ที่จะช่วยให้เทอมนี้คะแนนไม่ตก อย่าลืมทักหาพี่มะเขือเทศนะ
